วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552

วิธีเอาชนะความขี้เกียจ


ที่มา: http://www.kanlayanatam.com/sara/sara114.htm

บทความจากนิตยสาร Secret

อากาศเย็นกำลังดีหลังวันหยุดต่อเนื่องแบบนี้ ทำให้การลุกจากเตียงนอนตอนเช้าๆ กลายเป็นกิจกรรมที่ชาวโลกส่วนใหญ่ลงมติว่าทำได้ยากที่สุดไปแล้ว ยังไม่รวมปณิธานปีใหม่ที่เราต่างสัญญากับตัวเองไว้ดิบดี...แค่เพียงเริ่มต้นยังแสนยาก

“ ความขี้เกียจ ” ร้ายกาจกว่าที่คุณคิด เพราะมันคอยซุ่มโจมตีให้คนล่าฝันอย่างเราๆ ไปไม่ถึงดวงดาวมานักต่อนัก จึงขอส่งเทียบเชิญคุณผู้อ่านมาร่วมกันหักด่านความขี้เกียจไปด้วยกัน

“ ความขี้เกียจ ” สัญชาตญาณหลงยุคของมนุษย์

“ ความขี้เกียจไม่ใช่อะไรเลย นอกจากนิสัยที่ชอบหยุดพักก่อนที่จะรู้สึกเหนื่อย ”
จูลส์ เรอนาร์ด ( Jules Renard ) กวีชาวฝรั่งเศส



บางทีเหตุผลหนึ่งที่เราเอาชนะความขี้เกียจไม่ค่อยได้ เป็นเพราะเราไม่รู้จักมันดีพอนั่นเอง ทั้งๆ ที่เราได้ยินได้ฟังเรื่องความขี้เกียจมาตั้งแต่เด็กๆ เช่น จากนิทานอีสปเรื่องมดขยันกับตั๊กแตน ขี้เกียจ หรือจากคัมภีร์ไบเบิลที่ระบุว่า ความขี้เกียจ ( Sloth ) คือหนึ่งในบาปเจ็ดประการของมนุษย์

เป็นที่รู้กันดีว่า ความขี้เกียจก่อให้เกิดผลร้ายมหาศาล แต่เรามักจะอภัยให้ “ ความขี้เกียจ ” อย่างง่ายดายและรวดเร็วเกินไป สงสัยไหมว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้

ดร. นานโด เปลูซี ( Nando Pelusi ) นักจิตวิทยาผู้เขียนบทความเรื่อง “The Lure of Laziness” ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Psychology Today ฉบับกรกฎาคม - สิงหาคม 2007 อธิบายว่า บรรพบุรุษของมนุษย์มีสัญชาตญาณที่จะสงวนพลังงานในร่างกายไว้ให้มากที่สุด เพราะในยุคโบราณ อาหารเป็นสิ่งที่หาได้ยาก อีกทั้งยังมีอันตรายมากมายรออยู่ภายนอก เช่น สัตว์ร้าย ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ฯลฯ สัญชาตญาณนี้จึงตกทอดอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ที่จะไม่ยอมทำอะไรที่ต้องใช้ความทุ่มเทหรือพลังงานสูงๆ ตราบใดที่ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่าหรือไม่ พูดอีกอย่างก็คือ เมื่อปัจจัยที่แวดล้อมอยู่รอบตัวไม่ได้สร้างความมั่นใจเพียงพอ เราก็จะเกิดความรู้สึกอยากประวิงเวลาที่จะต้องลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้นานออกไป

เมื่อเทียบกับมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ พวกเขาต้องใช้ชีวิตแบบไม่มีเวลาหยุดคิด เช่น หิวต้องล่าสัตว์ กลัวต้องวิ่งหนี พายุมาต้องหลบทันที ฯลฯ ผิดกับมนุษย์ยุคนี้ที่ต้องเผชิญกับปัจจัยทางสังคมและจิตใจที่ซับซ้อนกว่า และต้องใช้เวลานานกว่าที่จะเห็นผลลัพธ์ของการกระทำ และนี่จึงเป็นคำอธิบายว่า ทำไมบางคนต้องรอให้ถึงเส้นตายก่อนเท่านั้น เขาจึงจะทำงานเสร็จหรือทำได้ดี





ปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้เกิดความขี้เกียจ

ตอนนี้เรารู้แล้วว่าความรู้สึกเฉื่อยชากับเรื่องที่ควรทำ หรือที่เรียกว่า “ ความขี้เกียจ ” นั้น เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ส่วนปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่ทำให้เกิดความขี้เกียจนั้น ได้แก่

1. ความอ่อนเพลีย สมองของคนเราต้องการการพักผ่อนอย่างสม่ำเสมอ โจ โรบินสัน

( Joe Robinson ) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Work to Live: the Guide to Getting a Life บอกไว้ว่า คนเราจำเป็นต้องตัดขาดจากตัวการสร้างความเครียดเสียบ้าง เพื่อให้จิตใจและร่างกายได้พักผ่อน การทำงานสัปดาห์ละ 48 ชั่วโมงหมายถึงการเพิ่มความเครียดให้สมองมากขึ้นเป็นสองเท่า และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ นอกจากนี้การลาพักร้อนหรืองีบหลับตอนกลางวันของชาวยุโรปที่ชาวอเมริกันมองว่าเป็นความขี้เกียจนั้น จริงๆ แล้วเป็นเคล็ดลับในการใช้ชีวิตของพวกเขาต่างหาก เพราะจากผลสำรวจพบว่า ชาวยุโรปอย่างน้อยสี่ประเทศใช้เวลาทำงานน้อยกว่าคนอเมริกัน แต่กลับได้งานมากกว่า

โรบินสันยังบอกอีกว่า คนอเมริกันมักมีความเชื่อว่า ต้องมีคนนั่งทำงานตลอดเวลา มิฉะนั้นผลประกอบการจะลดลง ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดโดยสิ้นเชิง

2. ความต้องการความสุขสบาย มนุษย์มีสัญชาตญาณรักความสบายอยู่ในตัว อย่างไรก็ดี

หากเรามองหาแต่ความสบายในทุกๆ สถานการณ์ เราก็จะรู้สึกว่าการทำอะไรสักอย่างที่เป็นเรื่องที่สมควรจะทำ (แต่อาจทำให้เกิดความไม่สะดวกเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตของเรา) เช่น การตื่นเช้าขึ้น การจำกัดอาหาร หรือการรับงานที่ยากขึ้น ฯลฯ กลายเป็นเรื่องเหลือวิสัย จนทำให้เราหลีกเลี่ยงไม่ทำสิ่งเหล่านั้น หรือผัดวันประกันพรุ่ง เพียงเพื่อยืดระยะเวลาแห่งความสุขให้ยาวนานออกไป

3. ความกลัวความล้มเหลว ดร. นานโด เปลูซี อธิบายว่า ก่อนที่ใครสักคนจะประสบความสำเร็จได้นั้น เขาต้องทุ่มเทมากกว่าปกติ และมักมองทางเลือกไว้เพียงสองทาง คือ “ ทุ่มสุดตัว ” หรือ “ ไม่ต้องทำอะไรเลย ” ซึ่งการตัดสินใจทุ่มสุดตัวโดยไม่มีสิ่งใดรับประกันผลของการทุ่มเท มักทำให้เกิดความกังวลและความเครียดสะสม ส่วนใหญ่แล้ว ความกลัวว่าสิ่งที่ได้รับอาจไม่คุ้มค่าหรือกลัวว่าจะล้มเหลวเป็นฝ่ายชนะ คนเราจึงมักจะเลือกทางที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะรู้สึกว่าทำไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น

4. พันธุกรรมและสารเคมีในสมอง ปี 2008 ดร. เจ. ธิโมธี ไลท์ฟุต ( J. Timothy Lightfoot ) นักวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวแห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับความกระฉับกระเฉง เพื่อที่จะพัฒนานักกีฬาให้ทำการฝึกซ้อมดีขึ้น ผลการทดลองสรุปว่า การที่คนคนหนึ่งรู้สึกกระฉับกระเฉงหรือเฉื่อยชาขึ้นอยู่กับปัจจัยทางพันธุกรรมด้วย นั่นแสดงว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด และเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถเลือกได้

5. การขาดแรงจูงใจ คนเรามีเหตุผลมากเกินกว่าจะนับไหว ที่ทำให้รู้สึกหมดไฟไปเสียเฉยๆ ไม่ว่าจะเป็นเบื่องาน เบื่อนาย เบื่อลูกน้อง เบื่อเพื่อนร่วมงานโต๊ะข้างๆ ไม่ชอบบรรยากาศในออฟฟิศ รถติด บ้านไกล หรือทำงานไปแล้วไม่เห็นอนาคต ฯลฯ ซึ่งเหตุผลเพียงข้อเดียวจากที่กล่าวมาก็บั่นทอนกำลังใจอย่างยิ่ง และเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความขี้เกียจได้อย่างง่ายดาย



นิวรณ์ 5 ต้นตอของความขี้เกียจ

ในเชิงพุทธศาสนา ต้นเหตุของความขี้เกียจคือนิวรณ์ 5 ซึ่งหมายถึง สิ่งที่ขวางกั้นจิตไม่ให้มีสมาธิ ทำให้ไม่สามารถทำสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จได้ อันได้แก่

1. กามฉันทะ คือ ความยินดี พอใจ เพลิดเพลินในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

2. พยาบาท คือ ความโกรธ ความพยาบาท ความไม่พอใจ ความขัดเคืองใจ

3. ถีนมิทธะ แยกได้เป็น ถีนะ คือ ความหดหู่ ท้อถอย และ มิทธะ คือ ความง่วงเหงาหาวนอน

4. อุทธัจกุกกุจจะ แยกได้เป็น อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน และ กุกกุจจะ คือ ความรำคาญใจ

5. วิจิกิจฉา คือ ความลังเล สงสัย ไม่แน่ใจ



เคล็ดลับในการฝ่าด่านความขี้เกียจ

แม้เราจะมีความขี้เกียจฝังอยู่ในสายเลือด แต่โชคดีที่การเอาชนะความขี้เกียจขึ้นอยู่กับตัวเราเองเป็นสำคัญ ขอแนะนำเคล็ดลับในการเอาชนะความขี้เกียจดังต่อไปนี้

TIP 1 เตรียมกายให้พร้อม

ถ้าคุณรู้สึกว่านอนเท่าไรก็ไม่อิ่ม เหงื่อออกตอนกลางคืน อาหารไม่ย่อย หรือความคิดไม่แล่น ฯลฯ รู้ไว้เถิดว่า เหล่านี้คือสัญญาณที่บ่งบอกถึงความอ่อนเพลียของคุณ จิลล์ โทมัส ( Jill Thomas )

นักธรรมชาติบำบัด ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Revive: How to Overcome Fatigue Naturally แนะนำวิธีง่ายๆ เพื่อสลัดความอ่อนเพลียและฟิตร่างกายให้พร้อมรับมือกับการทำกิจกรรมต่างๆ ไว้ดังนี้

1. ออกกำลังกายตอนเช้า การเดินเร็วๆ เพียง 20-40 นาทีในตอนเช้าจะช่วยป้องกันความอ่อนเพลียได้อย่างมหัศจรรย์

2. เติมพลังด้วยอาหารเช้า ควรรับประทานอาหารเช้าที่มีเส้นใยสูง โปรตีนต่ำ และไม่หวาน เพื่อทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ มิฉะนั้นร่างกายจะอ่อนเพลียและรู้สึกหิวเร็วขึ้น

3.กินผักมากกว่าเนื้อ รับประทานผักผลไม้และธัญพืชให้ได้วันละ 3-5 ขีด เพื่อรักษาค่าความเป็นกรดในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานอย่างสมดุล ไม่เพลียง่ายๆ

4.ดื่มน้ำสะอาด การดื่มน้ำให้เพียงพอช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียทำงานดีขึ้น คนเราควรดื่มน้ำเปล่าวันละ 1.5-2 ลิตร และควรดื่มน้ำเปล่าสองแก้วตามหลังชาหรือกาแฟหนึ่งถ้วยเสมอ

5.กินไขมันดี กรดไขมันที่จำเป็น ( EFAs ) เช่น โอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ฯลฯ มีความสำคัญมากต่อเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่รับส่งข้อมูลในสมอง และการสร้างฮอร์โมนที่จำเป็น


TIP 2 บันได 8 ขั้นสู่การเอาชนะใจตนเอง

1. ทำด้วยใจรัก จงเป็นตัวของตัวเองและทำสิ่งที่คุณชอบ จำไว้ว่า การทำสิ่งที่ชอบจะนำมาซึ่งพลังงาน ความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด

2.ลงมือทำตามกฎ 15 นาที “ การลงมือ ” คือยาพิชิตความขี้เกียจที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเบื่อหน่ายแค่ไหน ขอให้คุณลงมือทำสัก 15 นาที จำไว้ว่า ผลงานในช่วง 15 นาทีแรกอาจจะใช้ไม่ได้เลย แต่นี่จะเป็นรากฐานของความสำเร็จ

3.เปิดรับความท้าทาย ลบความคิดที่ว่า “ ฉันทำไม่ได้ ” ทิ้งไป เพราะความผิดพลาดเป็นครูที่ดีที่สุดของมนุษย์

4.มองภาพเล็กไว้ก่อน การมองภาพใหญ่หรือการคาดหวังเป้าหมายในระยะยาวอาจทำให้เกิดความย่อท้อได้ง่ายๆ ควรที่จะวางแผนเป็นลำดับขั้นหรือแบ่งงานเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อสร้างกำลังใจให้แก่ตนเองจะดีกว่า

5.ติดตามความคืบหน้า การเขียนความก้าวหน้าของคุณลงในสมุดทุกวัน ช่วยให้คุณจดจ่อกับเป้าหมาย และมองเห็นวิธีการที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ชัดขึ้น

6.ให้คำมั่นสัญญา บอกให้เพื่อนฝูงหรือคนใกล้ตัวรับรู้เกี่ยวกับเป้าหมายของคุณ เพราะการให้คำมั่นสัญญาจะเป็นการผูกมัดตัวเอง อีกทั้งยังทำให้คุณรู้สึกฮึกเหิมและมีกำลังใจมากขึ้นด้วย

7.เป็นผู้ “ รอ ” ที่ดี เลิกหวังผลแบบทันทีทันใด แล้วหันมาอดทนเพื่อผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าในอนาคต

8.ให้รางวัลตัวเอง ยอมให้ตัวเองได้หยุดพักเมื่อทำงานเล็กๆ สำเร็จ เพื่อสะสมกำลังไว้ต่อสู้ในระยะยาว



TIP 3 เพิ่มประสิทธิภาพให้การทำงานด้วยหลักอิทธิบาท 4

อิทธิบาท 4 คือธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จ เราสามารถนำหลักธรรมแต่ละข้อมาปรับใช้ให้เข้ากับนิสัยของตัวเอง เพื่อช่วยรวบรวมสมาธิและขจัดความขี้เกียจได้

1.ฉันทะ หมายถึง ความรักในงาน รักในจุดมุ่งหมายของงาน มีความพอใจในสิ่งที่มีที่ทำ

2.วิริยะ หมายถึง ความขยันหมั่นเพียร ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ไม่ล้มเลิกก่อนทำสำเร็จ

3.จิตตะ หมายถึง ความมีใจจดจ่อ เอาใจใส่กับการทำงานเสมอ

4.วิมังสา หมายถึง ความสอดส่องในเหตุและผลและเกี่ยวข้องกับงานนั้นๆ

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) สอนไว้ว่า การทำกิจอันใดให้สำเร็จไม่จำเป็นที่จะต้องเริ่มจากฉันทะหรือความพึงพอใจในงานนั้นก่อนเสมอไป ตัวอย่างเช่น การสร้างสมาธิ เพราะไม่ว่าสมาธิจะเกิดจากหลักธรรมข้อไหน แต่เมื่อสมาธิเกิดขึ้นแล้ว หลักธรรมข้ออื่นๆ จะเกิดขึ้นหนุนเนื่องตามกันมา ฉันใดก็ดี ในกรณีที่คนสองคนทำงานอย่างเดียวกัน คนคนหนึ่งทำงานเก่งกว่า ได้รับความสุขจากการทำงานมากกว่า ในขณะที่อีกคนหนึ่งไม่เก่งเท่า แต่มีความขยันหมั่นขวนขวายอยู่เสมอ วันหนึ่งเขาก็จะเก่ง จะรู้สึกมั่นใจและเกิดความรักความผูกพันกับงานไม่แพ้เพื่อนคนแรก

คนที่รักงานที่ทำจะสนใจเรื่องปลีกย่อยต่างๆ เช่น เงิน หรือของรางวัล ฯลฯ น้อยลง ตรงกันข้าม ถ้าคนไม่รักในงาน แต่หวังผลสำเร็จของงาน ก็จะหาหนทางหลบเลี่ยงเพื่อให้ตัวเองออกแรงน้อยลง หรือทุจริตเพื่อหวังเงิน วัตถุ ตำแหน่ง ฯลฯ ซึ่งตัณหาเหล่านี้คืออีกตัวการที่ทำให้คนเรา ขี้เกียจนั่นเอง



ชีวิตที่สมดุล

การบังคับใจตนเองให้ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์และทำความดีอยู่เสมอต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น จงอย่าปล่อยให้ความสุขสบายเพียงชั่วครั้งชั่วคราวมาลวงให้คุณไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยเด็ดขาด อย่างไรก็ดี อย่าเพิ่งปักใจว่าการก้มหน้าก้มตาเรียนหนังสือ การทำงานตั้งแต่เช้ามืดจนค่ำ หรือหมกมุ่นกับกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะนั่นแปลว่าคุณกำลังละเลยบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญ นอกจากคุณจะถามตัวเองว่า คุณกำลัง “ ขี้เกียจ ” ทำงานอยู่หรือเปล่า คุณลองหันมาถามตัวเองดูว่า คุณกำลังขี้เกียจจัดสรรเวลาเพื่อพักผ่อน “ ขี้เกียจ ” แก้ไขจุดบกพร่องเพื่อลดขั้นตอนการทำงานหรือว่าคุณกำลัง “ ขี้เกียจ ” หยุดพักเพื่อใช้เวลาในการคิดทบทวนสิ่งที่ทำอยู่บ้างหรือเปล่า ฯลฯ

เพราะจริงๆ แล้วชีวิตที่เป็นสุขก็ไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่า “ ความสมดุล ”

ไม่ต้องสละเงินก็เป็นบุญได้เหมือนกัน

ที่มา: http://www.kanlayanatam.com/sara/sara42.htm

ไม่ต้องสละเงินก็เป็นบุญได้เหมือนกัน

เรามักคุ้นเคยกับการทำบุญแบบเสียเงิน จนคิดว่าการทะบุญมีแต่เฉพาะเรื่องการให้ทาน ลองย้อนกลับไปดู บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ มีอีกตั้ง ๙ วิธีที่ไม่ต้องเสียทรัพย์ก็เป็นบุญ ส่วนคนที่วิตกกังวลว่าเงินบริจาคจะถูกใช้ไปในจุดประสงค์อื่นที่ไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ต้องวิตกกังวลอีกต่อไป เพราะต่อไปนี้คือวิธีทำบุญแบบไม่ต้องบริจาคเป็นเงิน



ทำอาหารเลี้ยงเด็กกำพร้า

หาโอกาสเหมาะ ๆ ลงขันกับเพื่อน ๆ ทำอาหารไปเลี้ยงเด็กตามสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ อาทิ เด็กพิการ เด็กกำพร้า เด็กติดเชื้อเอชไอวี ฯลฯ นอกจากจะได้บุญแล้วยังเป็นการอวดเสน่ห์ปลายจวักให้เด็ก ๆ ได้ลิ้มรสอาหารจากฝีมือของคุณอีกต่างหาก

โรงพยาบาลหลายแห่ง มีเด็กอ่อนที่ถูกทอดทิ้งเป็นจำนวนมาก เด็กเหล่านี้ไม่ได้รับความรักความอบอุ่นอย่างที่เด็กทั่วไปได้รับ การไปช่วยอุ้มเด็กเหล่านี้ให้เขาได้รับสัมผัสแห่งความรักและความอบอุ่นบ้าง มีความหมายอย่างมากต่อชีวิตจิตใจของเขา



กิจกรรมสันทนาการ

หากคุณเป็นนักกิจกรรมเก่ามาก่อน ลองหาเวลาว่างไปทำกิจกรรมสันทนาการกับเด็ก ๆ ตามสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ ดูสิ เพราะตามสถานสงเคราะห์เหล่านี้เขาต้องการอาสาสมัครไปช่วยงานอยู่แล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องเล่นเกม จะเป็นการวาดภาพ เล่านิทาน นิทานหุ่นกระบอก นิทานหุ่นมือหรืออะไรก็ได้ที่คุณถนัด แล้วแต่ว่าคุณมีความสามารถอะไรจะให้ความบันเทิงและมีสาระแก่เด็ก ๆ



สันทนาการกับผู้ใหญ่

ใช่ว่าจะมีแต่เด็กเท่านั้นที่ชอบสันทนาการ ผู้ใหญ่ก็ชอบเหมือนกันแต่ผู้ใหญ่ในที่นี้หมายถึงบุคคลที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ คงเคยเห็นนักดนตรีชื่อดังอาสาเข้าไปเล่นดนตรีให้คนในเรือนจำฟัง นั่นแหละ .. เดี๋ยวนี้มีกลุ่มละครบางกลุ่ม ติดต่อเข้าไปเล่นละครให้ชาวคุกได้ชมเหมือนกัน หากคุณมีความสามารถในการแสดง บันเทิงหรือสาระที่เป็นประโยชน์ก็สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่เรือนจำเข้าไปแสดงได้จะได้เป็นการช่วยผ่อนคลายความเครียดและความหดหู่ ซึมเซาอันเกิดจากการถูกจองจำ หรืออยากจะทำบุญด้วยการทำอาหารไปเลี้ยงผู้ถูกคุมขังในเรือนจำก็ได้ เพราะปรกติแล้วอาหารในเรือนจำนั้น คงทราบกันดีว่าไม่ชวนให้เจริญอาหารเท่าไรนัก การนำอาหารไปเลี้ยงผู้ถูกคุมขังก็เป็นเรื่องที่เรือนจำสนับสนุนอยู่แล้ว



เยี่ยมคนชรา

ไม่มีใครที่ไม่แก่ การไปเยี่ยมคนแก่ หรือแม้แต่นำอาหารไปเลี้ยงท่านเหล่านั้นที่บ้านพักคนชรา จึงเป็นทั้งบุญและเป็นการให้สติตัวเองไปด้วยในตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้สติปัญญาว่าคนเราต้องแก่เฒ่าหนังเหี่ยวย่น

สำหรับคนชรายังไม่ค่อยเห็นมีใครเอาดนตรีเข้าไปเล่นให้ฟังบ้าง เรามักเข้าใจว่าโลกของคนแก่จำกัดอยู่แค่ความเงียบสงบเท่านั้น ที่จริงยังมีดนตรีอีกหลายประเภทที่คนชราก็น่าจะฟังได้ไม่ขัดหู อย่างเช่น ขลุ่ย ไวโอลิน หรือกีตาร์โฟล์คเบา ๆ ใครมีความสามารถตรงนี้ก็ลองท้าทายตัวเองหน่อย คนทุกเพศทุกวัยล้วนมีดนตรีในหัวใจ เขาจะได้มีถูกเลือกปฏิบัติให้อยู่ในโลกของความเงียบเหงาเหมือนกับที่ถูกพามาส่งให้อยู่ที่บ้านพักคนชราอย่างนี้


ครูข้างถนน

ครูข้างถนนก็เป็นอีก “ บุญ ” หนึ่งที่คุณก็สามารถทำได้ อย่างน้อยก็ช่วยให้เด็กข้างถนนคนหนึ่งมีเพื่อนมีคนที่รับฟังและพร้อมจะเข้าใจเขา



บริจาคเสียง

เป็นบุญอีกวิธีหนึ่ง คือการอ่านหนังสือออกเสียงบันทึกใส่เทปเป็นห้องสมุดเสียง อันนี้เป็นโครงการที่มีอยู่แล้วของมูลนิธิคอลฟิลด์เพื่อคนตาบอด เปิดโอกาสให้คนตาดีช่วยอ่านหนังสือบันทึกเสียงใส่เทปคาสเซ็ท เทปคาสเซ็ทนี้ก็จะเก็บไว้สำหรับคนตาบอดได้เลือกฟังในห้องสมุดเพื่อคนตาบอด ช่วยให้คนตาบอดได้มีโอกาสอ่านหนังสือได้มากขึ้นโดยคนตาดีช่วยอ่านให้ฟัง



เป็นอาสาสมัครในวัด

หากมีเวลาว่าง และอยากบริหารเวลามาใช้ในงานบุญบ้านลองหันไปเป็นอาสาสมัครให้กับวัดที่ทำงานพัฒนาให้กับชุมชนดูบ้าน เช่น วัดที่ดูแลเลี้ยงเด็กกำพร้า วันที่ดูแลผู้ป่วยเอดส์ วัดที่จัดงานปฏิบัติธรรม หรือไม่ก็เป็นอาสาสมัครในชุมชน



ทำความดีกับคนรอบข้าง

พ่อแม่ พี่น้อง ลูกหลาน มักเป็นบุคคลที่เราละเลยไปโดยไม่ตั้งใจ การหันกลับมาดูแลเอาใจใส่ก็เป็นอีกบุญหนนึ่งที่สามารถทำได้ง่าย ความต่างวัยระหว่างวัยรุ่นกับคนแก ระหว่างพี่กับน้อง ระหว่างเพศชายเพศหญิงและอัตลักษณ์ทางเพศที่แตกต่าง ระหว่างสถานภาพในครอบครัว ระหว่างลัทธิความเชื่อที่ยึดถือ ถึงแม้จะอยู่ในรั้วบ้านเดียวกัน ความต่างเหล่านี้เราสามารถสานความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นได้ด้วยการถามอย่างใส่ใจบ้างว่า “ เรียนหนังสือเป็นอย่างไรบ้าง ” “ ทำงานเหนื่อยบ้างไหม ” “ สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง ” “ กินข้าวแล้วหรือยัง ” พร้อมกับส่งยิ้มให้หนึ่งยิ้ม คนเราเมื่อเจอกันทุกวันมักไม่เห็นคุณค่าของกันและกัน จนวันหนึ่งต้องจากไปนั่นแหละจึงทำดีให้กันในวาระสุดท้าย ทำไมเราไม่ทำดีให้กันตั้งแต่ยังมีลมหายให้อยู่



ปลูกป่ารักษาสิ่งแวดล้อม

บุญแบบนี้เป็นสิ่งที่โลกกำลังต้องการอย่างยิ่ง วันหยุดสุดสัปดาห์ ลองชักชวนญาติพี่น้องหรือเพื่อน ๆ ไปปลูกต้นไม้ตามวัด สวนสาธารณะ หรืออุทยานแห่งชาติ มีตำรวจคนหนึ่ง ทุกวันจะตื่นแต่เช้ามืดขี่รถจักรยานต์ ขนกล้าไม้ไปปลูกริมทางข้างถนน และที่สาธารณะซึ่งรกร้าง พอเลิกงานก็ไปปลูกต้นไม้อีก วันหยุดก็ไม่เว้น ทำเช่นนี้ติดต่อมา ๑๕ ปี ปลูกต้นไม้ร่วม ๒ ล้านต้น ทำให้อำเภอทั้งอำเภอซึ่งเคยแห้งแล้งกลับอุดมร่มครึ้มด้วยต้นไม้ เมื่อใครมาถาม เขาก็ให้เหตุผลว่า เพราะต้องการทำบุญที่มีผลยั่งยืนถึงลูกหลาน



แนะนำพร่ำสอนความดีให้กัน

การเป็นพ่อแม่ที่มีความรับผิดชอบก็เป็นบุญวิธีอันหนึ่ง พ่อแม่ที่ดี คือพ่อแม่ที่มีเวลาให้ลูกสม่ำเสมอ ดูแลเอาใจใส่ความเป็นไปของลูก ๆ อย่างพอเหมาะพอดี ไม่ปล่อยทิ้งตามยถากรรมหรือบังคับขู่เข็ญจนเกินเหตุ ไม่ใช้ความรุนแรงกับลูก สอนลูกให้รู้จักรับผิดชอบช่วยเหลือตัวเองได้ มั่นใจในตัวเองดี เปิดโอกาสให้ลูกได้คิดเองบ้าง พร้อมกับสอนให้ลูกได้เรียนรู้เรื่องกตัญญูกตเวที คือรู้คุณและตอบแทนคุณ โดยเฉพาะเรื่องการเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่าซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญในระดับครอบครัวจริง ๆ และที่ไม่ควรลืมคือ สอนให้ลูกนึกถึงส่วนรวม รับผิดชอบต่อสังคมและเอื้อเฟื้อแบ่งปันแก่คนรอบข้าง



ตอบแทนความดี ปรับความเข้าใจ

ความดีที่เราได้รับมาจากผู้อื่นเป็นหนี้ความดีที่ค้างชำระ การตอบแทนความดีต่อผู้มีอุปการะนอกจากจะเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณแล้วก็ยังเป็นบุญอยู่ในตัวเอง เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในบุญให้เหนียวแน่นยิ่งขึ้นระหว่างเรากับเขา ผู้อุปการะและเช่นกันในความขุ่นข้องหมองใจบางอย่างก็เป็นหนี้ กรรมค้างชำระได้การปรับความเข้าใจ เผยความในใจกับเขาที่เคยมีเรื่องไม่พอใจกันก็ยังไม่พ้นเรื่องของบุญ บุญนี่กินอาณาเขตกว้างขวางจริง ๆ



เรียนรู้และเข้าใจ “ เขา ”

ให้ความรัก ความเมตตา ความเข้าใจ และการยอมรับต่อบุคคลผู้ติดเชื้อเอชไอวี รวมทั้งบุคคลที่ได้รับความกดดันจากสังคมในรูปแบบอื่น คนที่เพิ่งออกจากเรือนจำ คนชรา ผู้หญิง เด็ก คนกลุ่มน้อยทางทางเชื้อชาติคลอดจนผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง ศาสนา และเรื่องเพศ

ทุกวันนี้โลกเปิดเผยมากขึ้น ทำให้เราได้รับรู้ว่าโลกสีหม่นของคนบางกลุ่มที่สังคมหันหลังให้นั้นขาดชีวิตและสีสันอย่างไร การไม่ยอมรับก็คือบาปและความรุนแรงอย่างหนึ่ง บ่อยครั้งที่คนเราส่งบาปให้กันโดยไม่รู้ตัวอันนำไปสู่ความรุนแรงอื่น ๆ เป็นการดีกว่าหากเราหันมาเปิดใจ เข้าใจเขา เรียนรู้ความแตกต่างด้วยเมตตา เพราะเขาก็คือคนใกล้ตัวในสังคมที่เราต้องคอยดูแลเอาใจใส่ส่งบุญให้กัน

โทษของการละเมิดศีล ๕ มีดังต่อไปนี้

ที่มา: http://www.kanlayanatam.com/sara/sara6.htm

โทษของการละเมิดศีล ๕ มีดังต่อไปนี้


โทษขอการละเมิดศีลข้อที่ ๑ คือการทำลายชีวิตนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ปาณาติบาต (การทำลายชีวิต) ที่บุคคลทำจนคุ้น ทำจนเคยตัวทำอยู่เรื่อย ๆ ไป ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในกำเนิดเปรตวิสัย
วิบากคือเศษกรรม (ผลกรรมที่เหลือ) ของการทำลายชีวิตอย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำซึ่งเป็นมนุษย์ กลายเป็นคนอายุสั้น (พลันตาย)

โทษของการละเมิดศีลข้อที่ ๒ คือ อทินนาทาน ได้แก่ลักทรัพย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย อทินนาทาน (การลักทรัพย์) ที่บุคคลทำจนคุ้น ทำจนเคยตัวทำอยู่เรื่อยไป ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย
วิบากหรือเศษกรรม เศษของโทษ ที่ละเมิดศีลข้อ ๒ คือลักทรัพย์ (อทินนาทาน) อย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำ ซึ่งเป็นมนุษย์กลาย เป็นคนมีทรัพย์วินาศย่อยยับ (เช่น ถูกไฟ ไหม้หรือโจรผู้ร้ายปล้น เป็นต้น)

โทษของการละเมิดศีลข้อที่ ๓ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า

กาเมสุมิจฉาจาร (การทำชู้) ที่บุคคลทำจนคุ้น ฯลฯ ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ฯลฯ
วิบากของกาเมสุมิจฉาจาร (การทำชู้) อย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำ ซึ่งเป็นมนุษย์กลายเป็นคนถูกจองเวร

โทษของการละเมิดศีลข้อที่ ๔ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มุสาวาท (พูดปดหลอกลวง)

ที่บุคคลทำจนคุ้น ฯลฯ ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ฯลฯ
วิบากคือเศษกรรม ของการพูดปดหลอกลวง อย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำ ซึ่งเป็นมนุษย์กลายเป็นคนถูกกล่าวตู่ด้วยความเท็จ

โทษขอการละเมิดศีลข้อที่ ๕ คือ สุราเมรัย นั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย การดื่มสุราเมรัย ที่บุคคลทำจนคุ้น ฯลฯ ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ฯลฯ
วิบากของการดื่มสุราเมรัย (เสพยาเสพย์ติด) อย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำ ซึ่งเป็นมนุษย์ กลายเป็นคนบ้า

สำหรับศีลข้อ ๕ การเสพยาเสพย์ติดทุกชนิด เช่น เฮโรอีน ฝิ่น กัญชา ยาม้า ยาบ้าน ยาอี โคเคน เป็นอาที ก็สงเคราะห์เข้าในศีลข้อนี้ ผู้ใดเสพ ก็ถือว่าเป็นการละเมิดศีลข้อ ๕ นี้ด้วยเช่นกัน
ปกติมนุษย์ก็เมาอยู่แล้วด้วยกิเลส คือ ราคะ โลภะ โทสะและโมหะ ยิ่งเติมสิ่งเสพย์ติดเข้าไปอีก จึงเมาและบ้ากำลัง ๒ (ยิ่งบ้ากันใหญ่) เที่ยวจับคนเป็นตัวประกันบ้าง โดดตึกตายบ้าง ฆ่าเมีย ฆ่าลูก ฆ่าตัวเองฆ่าพ่อฆ่าแม่ของตัวเองตายบ้าง
เมืองไทยคนไทยเดินอยู่ตามถนนเตียน ๆ แท้ ๆยังถูกจับไปเป็นตัวประกันและถูกทำร้ายจนเสียชีวิต
เมืองไทยคนไทยเดินอยู่ตามถนนเตียน ๆ แท้ ๆ ยังถูกจับไปเป็นตัวประกันและถูกทำร้ายจนเสียชีวิต


เพราะฉะนั้น จงรีบเร่งรักษาศีล ๕ กันเถิดครับ เพื่อกำจัดปัญหาทางสังคมที่เกิดจากการที่มนุษย์ไม่รักษาศีล ๕ จึงเกิดโทษต่าง ๆ นานา มากหลายดังที่ปรากฏเป็นประจักษ์พยานให้เห็นอยู่
ผู้ละเมิดศีลข้อ ๕ ท่านกล่าวว่าวิบากกรรมที่เหลือย่อมทำให้เป็นบ้าเป็นคนเสียสติ

ในเวสสัตตรทีปนี ภาค ๒ ท่านพรรณนาให้เห็นคนบ้า ๘ จำพวก ดังนี้

. บ้าเพราะกาม
. บ้าเพราะโทสะ
. บ้าเพราะทิฎฐิ
. บ้าเพราะหลงใหล
. บ้านเพราะผีสิง (คือโลภ โกรธ หลง)
. บ้าเพราะดีเดือด
. บ้าเพราะเหล้า และ
. บ้าเพราะประสบเหตุร้าย
.
มีคำอธิบายขยายความดังนี้ครับ

. คนบ้ากาม ย่อมทำอะไรตามใจตกอยู่ในอำนาจแห่งความโลภ
. คนบ้าเพราะโทสะ ย่อมมุ่งร้ายตกอยู่ในอำนาจการเบียดเบียน
. คนบ้าเพราะทิฎฐิ จิตย่อมวิปลาส คือมีความเป็นคลาดเคลื่อน
. คนบ้าเพราะหลง ความคิดย่อม เลอะเลือน
. คนบ้าเพราะผีสิง ย่อมตกอยู่ในอำนาจผี (กิเลส)
. คนบ้าเพราะดีกำเริบ ย่อมแล้วแต่ดีจะกำเริบ
. คนบ้าเพราเหล้า ย่อมตกอยู่ในอำนาจการดื่ม
. คนบ้าเพราะประสบเหตุร้ายย่อมตกอยู่ในอำนาจของความเศร้าโศก

อานิสงส์ของการรักษาศีล ๕

ที่มา: http://www.kanlayanatam.com/sara/sara5.htm

อานิสงส์ของการรักษาศีล ๕

ผู้รักษาศีลข้อที่ ๑ คือไม่ฆ่าสัตว์ตัวชีวิต (ไม่ทำปาณาติบาต) ย่อมได้รับอานิสงส์ถึง ๒๓ ประการ คือ

๑. บริบูรณ์ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่ คือร่างกายไม่พิกลพิการ
๒. มีกายสูงและสมส่วน
๓. สมบูรณ์ด้วยความคล่องแคล่ว
๔. เป็นผู้มีเท้าประดิษฐานลงด้วยดี
๕. เป็นผู้สดใสรุ่งเรือง
๖. เป็นคนสะอาด
๗. เป็นคนอ่อนโยน
๘. เป็นคนมีความสุข
๙. เป็นคนแกล้วกล้า
๑๐. เป็นคนมีกำลังมาก
๑๑. มีถ้อยคำสละสลวยเพราะพริ้ง
๑๒. มีบริษัทบริวารมิได้พลัดพรากจากตน
๑๓. เป็นคนไม่สะดุ้งตกใจกลัว
๑๔. ข้าศึกศัตรูทำร้ายมิได้
๑๕. ไม่ตายด้วยความเพียรของผู้อื่น
๑๖. มีบริวารหาที่สุดมิได้
๑๗. รูปสวย
๑๘. ทรวดทรงสมส่วน
๑๙. ป่วยไข้น้อย
๒๐. ไม่มีเรื่องเสียใจ
๒๑. เป็นที่รักของชาวโลก
๒๒. มิได้พลัดพรากจากผู้หรือสิ่งที่รักและชอบใจ
๒๓. มีอายุยืน

รักษาศีลข้อ ๑ คือไม่ฆ่า ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีคุณานิสงส์ ล้วนแต่น่าพอใจ ล้วนแต่ทำให้สุขใจ


ผู้รักษาศีลข้อที่ ๒ คือข้อไม่ลักทรัพย์(อทินนาทาน) ผู้รักษาย่อมได้รับอานิสงส์ถึง ๑๑ ประการ ดังนี้

๑. มีทรัพย์มาก
๒. มีข้าวของและอาหารเพียงพอ
๓. ได้โภคทรัพย์ไม่สิ้นสุด
๔. โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ก็ย่อมได้
๕. โภคทรัพย์ที่ได้ไว้แล้วก็ยั่งยืน
๖. หาสิ่งที่ปรารถนาได้อย่างรวดเร็ว
๗. สมบัติไม่กระจัดกระจายด้วย ราชภัย โจรภัย อุทกภัย อัคคีภัย หรือญาติฉ้อโกง
๘. หาทรัพย์ได้โดยไม่ถูกแบ่ง
๙. ได้โลกุตตรทรัพย์
๑๐. ไม่เคยรู้ ไม่เคยได้ยินคำว่าไม่มี
๑๑. อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข

ผู้รักษาศีลข้อ ๓ คือ เว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ได้แก่เว้นจากการประพฤติผิดในการ (ไม่ทำชู้กับคู่ครองของผู้อื่น) ได้รับอานิสงส์ผลถึง ๒๐ ประการ (ปรมตฺถโชติกา) คือ

๑. ไม่มีข้าศึกศัตรู
๒. เป็นที่รักแห่งชนทั่วไป
๓. หาข้าวน้ำเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ อาศัยได้ง่าย
๔. หลับก็เป็นสุข
๕. ตื่นก็เป็นสุข
๖. พ้นภัยในอบาย
๗. ไม่ต้องเกิดเป็นหญิงหรือเป็นกะเทยอีก
๘. ไม่โกรธง่าย
๙. ทำอะไรก็ทำได้ โดยเรียบร้อย
๑๐. ทำอะไรก็ทำโดยเปิดเผย
๑๑. คอไม่ตก (คือมี สง่า)
๑๒. หน้าไม่ก้ม (คือมีอำนาจ)
๑๓. มีแต่เพื่อนรัก
๑๔. มีอินทรีย์ ๕ บริบูรณ์
๑๕. มีลักษณะบริบูรณ์
๑๖. ไม่มีใครรังเกียจ
๑๗. ขวนขวายน้อยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย หากินง่าย
๑๘. อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข
๑๙. ไม่ต้องกลัวภัยจากใคร ๆ
๒๐. ไม่ค่อยพลัดพรากจากของที่รัก


ผู้รักษาศีลข้อที่ ๔ คือเว้นจาการพูดปด พูดหลอกลวงปลิ้นปล้อน ย่อมได้รับอานิสงส์ ๑๔ ประการ (ปรมตฺถโชติกา)

๑. มีอินทรีย์ ๕ ผ่องใส
๒. มีวาจาไพเราะสละสลวย
๓. มีไรฟันอันเสมอชิตบริสุทธิ์
๔. ไม่อ้วนเกินไป
๕. ไม่ผอมเกินไป
๖. ไม่ต่ำเกินไป
๗. ไม่สูงเกินไป
๘. ได้แต่สัมผัสอันเป็นสุข
๙. ปากหอมเหมือนดอกบัว
๑๐. มีบริวารล้วนแต่ขยันขันแข็ง
๑๑. มีถ้อยคำที่บุคคลเชื่อได้
๑๒.ลิ้นบางแดงอ่อนเหมือนกลีบดอกบัว
๑๓. ใจไม่ฟุ้งซ่าน
๑๔. ไม่เป็นอ่าง ไม่เป็นใบ้


ผู้รักษาศีล ๕ คือเว้นจากการเสพสุราเมรัย สารเสพย์ติดทุกชนิด ย่อมได้รับอานิสงส์ ๓๕ ประการ (ปรมตฺถโชติการ)

๑. รู้กิจการอดีต อนาคต ปัจจุบันได้รวดเร็ว
๒. มีสติตั้งมั่งทุกเมื่อ
๓. ไม่เป็นบ้า
๔. มีความรู้มาก
๕. ไม่หวั่นไหว (ผู้ใดชวนในทางผิดไม่ร่วมมือด้วย)
๖. ไม่งุนงง ไม่เซอะ
๗. ไม่ใบ้
๘. ไม่มัวเมา
๙. ไม่ประมาท
๑๐. ไม่หลงใหล
๑๑. ไม่หวาดสะดุ้งกลัว
๑๒. ไม่มีความรำคาญ
๑๓. ไม่มีใครริษยา
๑๔. มีความขวนขวายน้อย
๑๕. มีแต่ความสุข
๑๖. มีอต่คนนับถือยำเกรง
๑๗. พูดแต่คำสัตย์
๑๘. ไม่ส่อเสียดใคร ไม่มีใครส่อเสียด
๑๙. ไม่พูดหยาบกับใคร ไม่มีใครพูดหยาบด้วย
๒๐. ไม่พูดเล่นโปรยประโยชน์
๒๑. ไม่เกียจคร้านทุกคืนวัน
๒๒. มีความกตัญญู
๒๓. มีกตเวที
๒๔. ไม่ตระหนี่
๒๕. รู้เฉลี่ยเจือจาน
๒๖. มีศีลบริสุทธิ์
๒๗. ซื่อตรง
๒๘. ไม่โกรธใคร
๒๙. มีใจละอายแก่บาป
๓๐. รู้จักกลัวบาป
๓๑. มีความเห็นถูกทาง
๓๒. มีปัญญามาก
๓๓. มีธัมโมชปัญญา (มีปัญญารสอันเกิดแต่ธรรม)
๓๔. เป็นปราชญ์ มีญาณคติ (เป็นคลังแห่งปัญญา)
๓๕. ฉลาดรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์และรู้ในสิ่งอันเป็นโทษ

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552

มงคล 38 ประการ


ที่มา : http://www.fungdham.com/mongkhol38/mongkhol38.html

มงคลที่ 1.
ไม่คบคนพาลอย่าคบมิตร ที่พาล สันดานชั่วจะพาตัว เน่าดิบ จนฉิบหายแม้ความคิด ชั่วช้า อย่ากล้ำกรายเป็นมิตรร้าย ภายใน ทุกข์ใจครัน

มงคลที่ 2.

การคบบัณฑิตควรคบหา บัณฑิต เป็นมิตรไว้ จะช่วยให้ พ้นทุกข์ สบสุขสันต์ความคิดดี เลิศล้ำ ยิ่งสำคัญควรคบกัน อย่าเขว ทุกเวลา

มงคลที่ 3.

การบูชาบุคคลที่ควรบูชาควรบูชา ไตรรัตน์ ขัตติเยศร์ผู้วิเศษ ก่อเกื้อ เหนือเกศาครูอาจารย์ เจดีย์ ที่สักการ์ด้วยบุปผา ปฏิบัติ สวัสดิ์การ

มงคลที่ 4.

การอยู่ในถิ่นอันสมควรเป็นเมืองกรุง ทุ่งนา หรือป่าใหญ่ทางมา-ไป ครบครัน ธัญญาหารมีคนดี ที่ศึกษา พยาบาลปลอดภัยพาล ควรอยู่กิน ถิ่นนั้นแล

มงคลที่ 5.

เคยทำบุญมาก่อนกุศลบุญ คุณล้ำ เคยทำไว้จะส่งให้ สวยเด่น เช่นดวงแขทั้งทรัพย์ยศ ไมตรี มีเย็นแดเพราะกระแส บุญเลิศ ประเสริฐนัก

มงคลที่ 6
การตั้งตนชอบต้องตั้งตน กายใจ ในทางถูกเร่งฝังปลูก ตนไว้ ให้ถูกหลักเมื่อตัวตน ยังมี เป็นที่รักควรพิทักษ์ ให้งาม ตามเวลา

มงคลที่ 7
ความเป็นพหูสูตการสนใจ ใฝ่คว้า หาความรู้ให้เป็นผู้ แก่เรียน เพียรศึกษามีศีลดี สติมั่น เกิดปัญญาย่อมนำพา ตัวรอด เป็นยอดดี

มงคลที่ 8
การรอบรู้ในศิลปะศิลปะ ต่างอย่าง ทางอาชีพควรเร่งรีบ เรียนรู้ ชูศักดิ์ศรีมีบางคน จนอับ กลับมั่งมีฉลาดดี มีศิลป์ หากินพอ

มงคลที่ 9
มีวินัยที่ดีอันวินัย นำระเบียบ สู่เรียบร้อยคนใหญ่น้อย เปรมปรีดิ์ ดีนักหนาวินัยสร้าง กระจ่างข้อ ก่อศรัทธาเพราะรักษา กติกา พาร่วมมือไม่พูดเท็จ พูดสอดเสียด และพูดมากละความยาก สร้างวิบาก ฝากยึดถือคนหมู่มาก มักถางถาก ปากข่าวลือต้องสัตย์ซื่อ ถือวินัย ใช้ร่วมกัน

มงคลที่ 10
กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิตเปล่งวจี สัจจะ นวลละม่อมกล่าวเลลี้ยกล่อม ไพเราะ กาลเหมาะสมเจือประโยชน์ เมตตา ค่านิยมรื่นอารมณ์ ผู้ฟัง ดังเสียงทอง

มงคลที่ 11
การบำรุงบิดามารดาคนที่หา ได้ยาก มากไฉนเพราะว่าใน โลกนี้ มีเพียงสองคือพ่อแม่ เกิดเกล้า เหล่าลูกต้องตอบสนอง พระคุณ ได้บุญแรง

มงคลที่ 12
การสงเคราะห์บุตรเป็นมารดา บิดา ทำหน้าที่ให้บุตรมี พำนัก เป็นหลักแหล่งส่งเสริมบุตร ธิดาตน กุศลแรงย่อมส่องแสง เพิ่มพูน ตระกูลวงศ์


มงคลที่ 13.
การสงเคราะห์ภรรยามีคู่ครอง ต้องไม่ทำ ให้ช้ำจิตจะพาผิด ไปข้าง ทงผุยผงต้องสงเคราะห์ แก่กัน ให้มั่นคงรักยืนยง ด้วยกัน ถึงวันตาย

มงคลที่ 14.
ทำงานไม่คั่งค้างจะทำงาน การใด ตั้งใจมั่นอย่าผัดวัน ทำเล่น เช้า เย็น สายไม่ทิ้งคา อากูล มากมูลมายเร่งคลี่คลาย ให้เสร็จ สำเร็จการ

มงคลที่ 15.
การให้ทานควรบำเพ็ญ ซึ่งทาน คือการให้ท่านว่าไว้ สวยงาม สามสถานหนึ่งให้ของ สองธรรมะ ขนะมารอภัยทาน ที่สาม งามเหลือเกิน

มงคลที่ 16.
การประพฤติธรรมการประพฤติ ตามธรรม คำพระสอนไม่เดือดร้อน ถอนทุกข์ ยามฉุกเฉินคนรักธรรม ธรรมรักษ์คน ผลเจริญนั่ง,ยืน,เดิน นอน,สุข ทุกข์ไม่มี

มงคลที่ 17.
การสงเคราะห์ญาติเมื่อยามญาติ อัตคัด เกินขัดข้องควรหาช่อง สงเคราะห์ ไม่เลาะหนีเขาซาบซึ้ง ถึงคุณ อบอุ่นดีหากถึงที เราจน ญาติสนใจ

มงคลที่ 18
ทำงานไม่มีโทษงานรับจ้าง ล้างชาม ก็ตามเถิดหากไม่เกิด โทษทัณฑ์ นั่นสดใสเมื่อได้ช่อง ต้องจำ กระทำไปได้กำไร ทุกทาง ไม่ว่างงาน

มงคลที่ 19
ละเว้นจากบาปกรรมชั่วช้า ลามก ต้องยกเว้นหากขืนเล่น ด้วยกัน ถูกมันผลาญงดเว้นบาป กำราบให้ ไกลสันดานในดวงมาลย์ ไม่ร้อน และอ่อนเพลีย

มงคลที่ 20
สำรวมจากการดื่มน้ำเมของมึนเมา ทุกชนิด พิษคล้ายเหล้าใครเสพเข้า น่าตำหนิ สติเสียเกิดโรคร้าย แรงร้อน กายอ่อนเพลียใครงดเสีย เป็นสุข ไปทุกวัน

มงคลที่ 21
ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลายไม่ประมาท คือมี สติพร้อมคอยหน่วงน้อม ธรรมคุณ ไม่ผลุนผลันธรรมอันใด ไม่ดี หลีกหนีพลันธรรมดีนั้น ยึดแน่น ไม่แคลนคลอน

มงคลที่ 22
มีความเคารพความเคารพ นับถือ คือเสน่ห์ไม่โลเล เหมือนลิง วิ่งหลอกหลอนทั้งต่อหน้า ลับหลัง พึงสังวรย่อมงามงอน สวยสง่า ราคาแพง

มงคลที่ 23
มีความถ่อมตนไม่พองลม ก้มหัว เจียมตัวด้วยมรรยาทสวย นิ่มนวล สิ้นส่วนแข็งเหมือนงูพิษ ถอดเขี้ยว หมดเรี่ยวแรงยามแถลง นอบน้อม พร้อมใจกาย

มงคลที่ 24
มีความสันโดษความสันโดษ พอใจ ในสิ่งของเช่นเงินทอง ของตน แม้ล้นหลายเมื่อมีน้อย จ่ายน้อย ค่อยสบายความจนหาย เลยลับ กลับมั่งมี

มงคลที่ 25
มีความกตัญญูกตัญญู รู้บุญ คุณพ่อแม่คนเฒ่าแก่ แลอาจารย์ ท่านทรงศีลจอมมุนินทร์ ปิ่นเกล้า เจ้าธานีหาวิธี แทนคุณ สมดุลกัน

มงคลที่ 26
การฟังธรรมตามกาลการฟังธรรม ตามกาล ผ่านมาถึงควรคำนึง นิ่งนั่ง ฟังขยันย่อมจะเกิด ปัญญา สารพันตั้งใจมั่น ฟังดี นี่สมควร

มงคลที่ 27
มีความอดทนความอดทน ตรากตรำ ยามลำบากเจ็บไข้มาก ทนได้ ไม่โหยหวนถูกเขาด่า ให้ฟัง นั่งหน้านวลยิ้มเสสรวล ด้วยขันติ งามวิไล

มงคลที่ 28
เป็นผู้ว่าง่ายควรเป็นคน สอนง่าย ไม่ตายด้านก่อรำคาญ ค่ำเช้า ไม่เข้าไหนไม่ซัดโทษ ของตน ให้คนใดเมื่อมีใคร สอนพร่ำ ให้นำมา

มงคลที่ 29
การได้เห็นสมณะการพบเห็น สมณะ ผู้สงบแล้วนอบนบ ถามไถ่ ไตรสิกขาหมั่นฝึกหัด ทุกวัน ด้วยปัญญาย่อมชักพา จิตตรง มงคลมี

มงคลที่ 30
การสนทนาธรรมตามกาลยามหดหู่ ฟุ้งซ่าน กาลสงสัยเป็นสมัย ไต่ถาม ตามเหตุผลเพื่อบรรเทา คลี่คลาย หายกังวลควรจะสน- ทนาธรรม ตามที่ควร

มงคลที่ 31
การบำเพ็ญตบะพึงบำเพ็ญ ตบะ ละกิเลสอันเป็นเหตุ หักห้าม กามฉันท์มุ่งทำลาย ถ่ายบาป สาบสูญพันธุ์เข้าสู่ขั้น สุโข ฌาณโกลีย์

มงคลที่ 32
การประพฤติพรหมจรรย์เร่งประพฤติ พรหมจรรย์ อันประเสริฐ์เพื่อให้เกิด สุขล้วน โดยถ้วนถี่ตั้งแต่ทาน ถึงสิกขา บรรดามีสมบูรณ์ดี พรหมจรรย์ ย่อมมั่นคล

มงคลที่ 33
การเห็นอริยสัจการรู้เห็น ความจริง สิ่งเที่ยงแท้ไม่ผันแปร สี่ชนิด ไม่ผิดหลงตัดตัณหา มูลราก พรากทุกข์ลงเป็นการส่ง ข้ามฟาก จากสาคร

มงคลที่ 34
การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานทำให้แจ้ง นิพพาน ผลาญสังโยชน์ตรวจตราโทษ ธาตุ ขันธ์ หมั่นฝึกถอนเอาอรหัต มรรคญาณ เผาราญรอนดับทุกข์ร้อน นิพพาน สำราญนัก

มงคลที่ 35
การมีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรมท่านผู้ใด ใจดำรง อยู่คงที่ในเมื่อมี โลกธรรม ครอบงำหนักเช่น ลาภ ยศ สุข เศร้า เข้าง้างชักมิอาจยัก โยกท่าน ให้หวั่นใจ

มงคลที่ 36
การมีจิตไม่โศกเศร้าคราวพลักพราก จากญาติ ขาดชีวิตถูกพิชิต จองจำ ทำโทษใหญ่มีสติ คุมจิต เป็นนิตย์ไปไม่เสียใจ โศกเศร้า เฝ้าประคอง

มงคลที่ 37
มีจิตปราศจากกิเลสหมดราคะ โทสะ โมหะแล้วจิตผ่องแผ้ว เลิศดี ไม่มีสองย่อมมีค่า สูงจริง ยิ่งเงินทองเหมือนสูริย์ส่อง ท้องฟ้า สง่างาม

มงคลที่ 38
มีจิตเกษมจิตเกษม เปรมปรีดิ์ ดีตลอดเป็นจิตปลอด จากโอฆ ในโลกสามเครื่องผูกมัด สลัดหมด แสนงดงามเข้าถึงความ สุขสันต์ นิรันดร


การทำบุญสะเดาะเคราะห์


1. การปล่อยปลาไหล เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อให้การกระทำใดๆ หรืองานบางอย่างที่เรามุ่งหวัง ราบลื่น ลื่นไหลเหมือนดังชื่อของปลาไหล ไม่มีติดขัด และอุปสรรคใดๆขัดขวาง

2.การปล่อยเต่า เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อให้ตนหรือใครบางคนที่เราอธิษฐานถึง มีอายุมั่นขวัญยืน หรือถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ก็ขอให้หายจากการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นๆ

3. การปล่อยหอยขม เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อขอให้ความทุกข์ ความขมขื่นที่เป็นอยู่ และเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจให้กับตัวเองจง หมดไป หรือหายไปพร้อมกับหอยขมที่เราปล่อยไป

4. การปล่อยนก เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อขอให้ตัวเราจงพ้นจากความทุกข์ที่ผูกพันอยู่ในชีวิต พ้นจากปัญหา หรือเคราะห์ร้ายใดๆ ที่เหนี่ยวรั้งจิตวิญญาณของคุณให้เป็นทุกข์ ไร้อิสระ การปล่อยนกเป็นเสมือนกับการขอให้ตนได้เริ่มชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม

5. การปล่อยปลาทั่วๆไป เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อขอให้มีความสุขร่มเย็นในชีวิต ทุกข์ใดๆที่ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ ขอให้หมดสิ้นไป

แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ถ้าคุณทำบุญโดยการซื้อสัตว์อะไรมาปล่อยก็ตาม คุณก็จะได้ผลบุญหนุนนำให้ชีวิตรุ่งเรือง หมดเคราะห์หมดโศกอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าคุณมีเรื่องทุกข์ร้อน หรือปรารถนาถึงเรื่องใดเป็นพิเศษ ก็ลองทำตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณเหล่านี้ดู

เพราะอย่างน้อยที่สุดก็สร้างความสบายใจให้เกิดขึ้นแก่ตัวคุณได้การทำบุญเพื่อสะเดาะเคราะห์แบบเฉพาะกิจการทำบุญเพื่อสะเดาะเคราะห์แบบเฉพาะกิจ หมายถึงการทำบุญเมื่อตัวคุณเองกระทำบาปบางอย่างขึ้นในอดิต แล้วต้องการจะสะเดาะเคราะห์เพื่อผ่อนทุกข์เหล่านั้นจากหนัก ให้ผ่อนคลายเบาบางลง